เรียนรู้จากความผิดพลาดของคนอื่นจะได้ไม่ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเอง
 
     
 
ความทรงจำ"แม่สำเนียง"
สิบสามปีแล้วในการสูญสิ้นโพธิ์ไทรในชีวิตที่เหลืออยู่แต่ ...ความทรงจำ"แม่สำเนียง"... ของลูกตลอดไป...
 

.ยี่สิบเอ็ดมกราปีห้าสอง
ต้องหม่นหมองปวดร้าวแสนเศร้าจิต
เมื่อสูญสิ้น"แม่สำเนียง เวชกิจ"
เปรียบชีวิตขาดโพธิ์ไทรไปพริบตา 

.จากเมื่อเจ็ดพฤษภาคราสามสาม
แต่ครั้งยาม"พ่อ"ด่วนมรณ์ไปก่อนหน้า
เหลือเพียง"แม่"คนเดียวยึดเหนี่ยวมา
ที่พึ่งพาหนุนเกื้อเอื้อแรงใจ

.เป็นศูนย์กลาง"แม่"เชื่อมลูกสุข-ทุกข์ทน
สิบสามคนแม้แสนหนักยากแค่ไหน
หวังครอบครัวได้พบประสบชัย
ทุ่มทำไปไม่ท้อแท้แพ้ชะตา 

."แม่"สอนลูกเป็นแบบอย่างสร้างกรรมดี
น้ำใจมีมิเคยขาดญาติทั่วหน้า
ไม่เอาเปรียบผู้ใดให้นินทา
ยึดเรื่อยมาความพอเพียงเคียงคู่ตน 

.ชอบทำบุญหนุนพุทธศาสนา
คอยเจือจานการศึกษามามากล้น
ช่วยเหลือโรงพยาบาลมั่นกมล
"แม่"มุ่งผลเผื่อแผ่แก่สาธารณ์ 

.ยึดเที่ยงธรรมยากหาใครมาเทียม
"แม่"จัดเตรียมทรัพย์สินไว้ให้ลูกหลาน
ฐานบรรเจิดเลิศล้ำงามตระการ
ได้ชื่นบานนำวิถีมีหลักชัย 

.แม้โชคร้ายหลายโรคภัยในชีวี
สู้หลายปีที่ร้าวรานสุดต้านไหว
จวบถึงแปดสิบสองปีที่สิ้นใจ
"แม่"คนดีที่ยิ่งใหญ่เกินใครคิด

.ยี่สิบเอ็ดมกราครั้งคราใด
ทำบุญให้อธิษฐานมั่นดวงจิต
เป็นลูกแต่"แม่สำเนียง เวชกิจ"
ในชีวิตทุกชาติหมายมาดไป

 

.ครูนิด วนศาสตร์(ชมรมสีเสียดแก่น)
www.lookforest.com

แรงดลใจ: เมื่อ 21 ม.ค.52 เวลา 20.13 น. เป็นวินาทีที่มีความรู้สึกว่าเสียใจมากที่สุดในชีวิต เมื่อแม่(นางสำเนียง เวชกิจ)ต้องจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ด้วยอายุเกือบ 82 ปี หลังจากที่เข้ามารักษาตัวอยู่หลายวัน จากการที่เกิดแผลในกระเพาะอาหารและโรคอื่นๆ ซึ่งแม้ได้ทำใจไว้บ้างแต่ก็ยังรู้สึกหวั่นไหวในอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง ด้วยยังหวังเป็นอย่างยิ่งให้แม่ได้อยู่กับพวกเราลูกๆหลานๆไปตราบนาน สุดท้ายก็ต้องยอมรับในกฎแห่งกรรมที่ทุกคนไม่สามารถหลบหนีได้พ้น เพียงแต่ละคนอาจประสบเร็วหรือช้าแตกต่างกันไป สุดแต่บุญกรรมที่เคยได้ทำไว้เท่านั้น


เป็นคนที่รู้สึกผูกพันกับแม่มาแต่เด็กที่จำความได้จนถึงวันที่แม่ลาจากไป จำภาพต่างๆของแม่ได้เป็นอย่างดี โดยอาจเป็นในห้วงลึกของหัวใจมีความเห็นใจแม่ที่เหนื่อยมาตลอด ด้วยเป็นคนบ้านนอกที่ต้องเลี้ยงลูกถึง 13 คน ควบคู่กันไปกับภาระงานการเป็นแม่บ้าน และการจัดการสวนป่าไม้โกงกางที่ปลูกไว้เพื่อเผาทำถ่านไม้จำหน่าย อันเป็นงานที่หนักหนาสาหัสมาก รวมทั้งงานอื่นๆของครอบครัว แต่แม่ไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยให้ได้ยิน เพียงแต่เปรยด้วยความภูมิใจว่าไม่มีโอกาสป่วยเพราะมีงานให้รับผิดชอบตลอดเวลาในช่วงที่ลูกๆอยู่ในวัยเรียน


แม่มีถิ่นเกิดที่บ้านแหลม เพชรบุรี มาเติบโตและแต่งงานกับพ่อ(ครูสำอางค์:นายโอภาส เวชกิจ)ที่บ้านยี่สาร อัมพวา สมุทรสงคราม ซึ่งแม้เป็นท้องถิ่นบ้านนอกในเขตป่าชายเลนที่น่ามีชีวิตสุขสบาย เพราะต่างคนคนมีพื้นฐานครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะ เพียงแต่มุ่งหวังให้ลูกมีการศึกษาซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายจำนวนมากเหลือเกิน หากไม่ใช้วิถีชีวิตที่รู้จักกินรู้จักใช้อย่างแท้จริงก็คงไปได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง ยังคงจำคำสั่งสอนของพ่อและแม่ได้เป็นอย่างดี กับทั้งได้พยายามนำมาปรับใช้ในหลายด้าน ทำให้ชีวิตครอบครัวมีความสุขได้ตามอัตภาพจนถึงวันนี้


ในชีวิตได้มีโอกาสอยู่กับแม่ที่บ้านเกิดแค่จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตอนนั้นอายุราว 12 ขวบ ก็ออกมาเรียนต่อในเมือง จำได้ว่าประทับใจกลอนของครูสุนทรภู่อยู่บทหนึ่งที่ว่า"แม่รักลูกลูกก็รู้อยู่ว่ารัก คนอื่นสักหมื่นแสนไม่แม้นเหมือน จะกินนอนวอนว่าเมตตาเตือน จะจากเรือนร้างแม่ไปแต่ตัว" ซึ่งได้แอบเขียนไว้ที่บ้านหวังให้แม่ได้อ่านแทนความรู้สึกที่เกิดขึ้นมา โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าสิ่งที่ตอบแทนทำให้แม่ได้มีความสุขมากๆนั้น คงมีแค่การได้บวชแทนคุณท่าน และการเรียนจบทั้งระดับตรี โทและเอก รวมทั้งการเลิกสูบบุหรี่ที่แม่เอ่ยปากขอเพียงสิ่งเดียวในชีวิตด้วยความเป็นห่วงใยในสุขภาพของลูกเท่านั้น


Last updated: 2022-01-21 14:25:10


@ ความทรงจำ"แม่สำเนียง"